จำนวนผู้เข้าชม

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เพื่อนคือความทรงจำ
















เพื่อนบางคน...อาจคอยมองดูคุณอยู่แบบห่างๆ แต่ไม่กล้าแสดงออก แต่เพื่อนบางคน...อาจจะเข้ามายุ่งกับคุณโดย เพราะเขาเป็นคนกล้า เพื่อนบางคน...อาจทำทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณได้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ในขณะที่เพื่อนบางคน...ไม่ได้ยินคำขอร้องของคุณด้วยซ้ำ เพื่อนบางคน...อาจพูดอะไรตรงๆ กับคุณเพราะรัก แต่เพื่อนบางคนของคุณ...อาจพูดแต่คำหวานๆ ซึ่งแฝงไปด้วยความน่ากลัว เพื่อนบางคน...อาจเหมือนคนที่ไม่อดทน มักบ่นอะไรเล็กๆ น้อยๆ เสมอ แต่จริงๆ แล้วเขา...อาจเป็นคนที่มีความอดทน มากกว่าที่คุณคิดเสียอีก เพื่อนบางคน...อาจไม่เคยมีความลับกับคุณ อาจแม้กระทั่งให้คุณอ่านไดอารี่แสนหวงของเขา แต่เพื่อนบางคน...อาจไม่เคยแม้แต่จะเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวให้คุณฟัง เพื่อนบางคน...อาจไม่เคยโทรศัพท์หาคุณเลย มีแต่คุณเท่านั้นที่มัวแต่โทรหาเขาทุกวัน เพื่อนบางคน...อาจโทรมาหาคุณได้โดยที่คุณไม่ต้องขอร้องเลยด้วยซ้ำ เพื่อนบางคน...อาจจะอยู่เคียงข้างคุณ ในยามที่คุณต้องการใครซักคน โดยที่ไม่มีใครขอ แต่เพื่อนบางคน...ไม่อาจแม้แต่จะรับรู้ความรู้สึกของคุณได้ เพื่อนบางคน...อาจถึงขนาด นั่งร้องไห้กับคุณ ในขณะที่อีกหลายๆ คน...ไม่สนด้วยซ้ำว่าคุณกำลังอยู่ที่ไหน เพื่อนบางคน...อาจเคยทำผิดกับคุณบ้าง แต่เขาก็ยังพยายามที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก ในขณะที่เพื่อนบางคน...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำผิดต่อคุณ เพื่อนบางคน...อาจหมายความตามที่เขาพูด เช่น ขอโทษก็คือขอโทษ ในขณะที่เพื่อนบางคน...พูดขอโทษ แต่หมายถึงสมน้ำหน้า เพื่อนบางคน...อาจจำได้ว่าพยายามโทรหาคุณข้ามวันข้ามคืน ถึงแม้ว่าเขาจะติดต่อคุณไม่ได้ แต่ก็ยังคงพยายาม ในขณะที่เพื่อนบางคน...อาจจำได้ไม่เกินครึ่งวันด้วยซ้ำว่าคุณโทรหาเขา เพื่อนบางคน...อาจเหมือนคนที่มีอารมณ์แปรปรวน อาจทำอะไรที่คุณคาดไม่ถึง แต่ไม่แน่เขา...อาจเป็นน้อยกว่าคุณก็ได้ เพียงแต่คุณไม่รู้ตัว เพื่อนบางคน...อาจชอบอยู่กับกลุ่มคนเยอะๆ ที่สนุก เฮฮา แต่เพื่อนบางคน...อาจจะภูมิใจกับกลุ่มเพื่อนเล็กๆ ที่อบอุ่นมากกว่า เพื่อนบางคน...อาจมัวนั่งเงียบๆ จนให้คุณไม่อาจรู้ได้ว่า เขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในขณะที่เพื่อนบางคน...พูดมากเสียจนคุณรำคาญ เพื่อนบางคน...อาจอยากให้คุณรับรู้ความรู้สึกจากเขาทางสายตา แต่เพื่อนบางคน...อาจเดินมาบอกความรู้สึกกับคุณด้วยตัวเอง เพื่อนบางคน...อาจจะไม่มีการแสดงออกใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าคุณจะทำให้เขาเสียใจเพียงใด แต่ในขณะที่เพื่อนบางคน...อาจเดินเข้ามาต่อว่าคุณ จนคุณไม่เหลือซากก็ได้ เพื่อนบางคน...สามารถอ่านใจคุณได้ ในขณะที่อีกหลายๆ คน...ไม่อาจรับรู้และเข้าใจ ความรู้สึกของคุณได้ แม้ว่าคุณจะบอกเขาไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็ตาม

คำว่ารัก


+++คำว่า รัก จากคนที่เราไม่ได้รักหล่ะ จะรู้สึกยังไง+++

............................................................................อย่างน้อยก็น่าจะรู้สึกดีบ้างเหมือนกันนะแม้บางครั้งจะรู้สึกว่าอึดอัดขึ้นมาบ้างก็ตามทีแต่...จริงๆแล้วในภายใต้ของความอึดอัดนั้น เราก็แอบมีความสึกยินดีอยู่เล็กๆหรือที่เรียกว่าความภูมิใจอยู่มิใช่น้อยไม่ใช่หรือจ๊ะ ........................................... นั่นเป็นเพราะอะไร ?ก็เป็นเพราะ คำว่า รัก แม้แต่จะมาจากคนที่เราไม่ได้รัก ก็ตาม แต่มันก็สือไปถึงจิตไมตรีที่เค้าหยิบยื่นให้และรวมไปถึงความหมายที่ว่าเป้นการยกยอไปในตัว เป็นต้นว่า ......................เราน่ารักก็ดี สวยก็ดี นิสัยดีก็ดี อะไรทำนองนี้ แม้แต่จะมาจากคนที่เราไม่สนใจหรือไม่รักเลยก็ตามแต่.....แต่....มันก็แปลว่ารู้สึกดีนั่นเอง.......จริงมั๊ยจ๊ะ.......ที่รัก......++++ความจริงก็แค่แวะเข้ามาทักทายรู้จัก+++แต่....มาถึงก็เจอเรื่องรักๆใคร่ๆที่ไม่ค่อยจะเข้าใจอยู่ด้วยแต่่เห็นว่าเมือมาแล้วก็ต้องแวะพูดคุยกันหน่อยก็แล้วกัน

เพื่อนมิตร

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
"เพื่อน"
เปรียบเสมือน คนรู้ใจ คนสนิท คนที่เราสามารถพูดได้เวลามีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน เรื่องความรัก หรือปัญหาอื่นๆ นอกเหนือจากพ่อแม่แล้ว "เพื่อน " ก็คือคนที่ใกล้ชิดเรามากที่สุด อีกคนหนึ่งนั่นเอง ความเป็นเพื่อนไม่จำเป็นต้องเลิศหรู
เพียงแต่... คุณลองทำตามเคล็ดลับ ที่เรานำมาฝากนี้
มันก็จะทำให้คุณสามารถมีเพื่อนที่รู้ใจ แถมยังทำให้ตัวคุณก็สามารถ เป็นเพื่อนที่ดีของคนอื่นได้อีกด้วย 1. คอยเป็นกำลังใจ เมื่อใดก็ตามที่เพื่อนของคุณอยู่ในสภาวะที่ไม่ค่อยปกตินัก เช่น เสียใจ หรือ กำลังร้องไห้ คนที่เขาอยากให้มาอยู่ใกล้ๆนั่นก็คือ คนที่สามารถทำให้เขาสบายใจ บางทีคุณอาจไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลย มันก็สามารถทำให้เขารู้ว่าคุณก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน เพียงแต่คุณนั่งลง และบอกกับเขาว่า "ฉันจะอยู่ข้างๆเธอ" เพียงเท่านี้ เขาก็จะมีพลังที่จะจัดการกับอุปสรรคต่างๆได้ 2. ยินดีในความสำเร็จ เมื่อใดก็ตามที่เพื่อนของคุณ ประสบความสำเร็จ คำพูดที่เขาอยากได้ยินจากคุณก็คือ "ดีใจด้วยนะ" เพียงประโยคเดียวเท่านี้ ก็สามารถต่อสายสัมพันธ์ ได้อีกยาวไกลเลย เพราะไม่ว่าใคร รวมถึง ตัวคุณเองก็ย่อมอยากได้กำลังใจจากคนรอบข้าง ใช่ไหมหล่ะ 3. อย่าถากถาง หรือ ซ้ำเติม ในทางตรงกันข้าม ยามใดก็ตามที่เพื่อนของคุณก้าวพลาดไป อย่างแรกที่เขาต้องการนั่นคือกำลังใจ และคำปลอบโยน จากคุณเหมือนกัน เพื่อให้เขายังรู้สึกว่า มีใครบางคนที่เป็นห่วงเขาเหมือนกันนะ และยังพร้อมที่จะให้โอกาส เสมอ อย่างน้อยแค่ประโยคเดียว เพียงบอกเค้าว่า "เริ่มต้นใหม่ได้หน่ะ เพื่อน" 4. มอบความจริงใจ เมื่อใดก็ตามที่คุณคบกับใครอยู่ คุณก็ต้องการได้ความจริงใจจากเขาใช่ไหม เมื่อใดก็ตามที่คุณอยากได้สิ่งใดจากผู้อื่น คุณต้องรู้จักการให้ในสิ่งนั้นก่อน ถ้าคิดอยากจะเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว เห็นทีจะไม่ไหว ต้องรู้จักป็นทั้งผู้ให้ และผู้รับต่างหาก 5. มีน้ำใจ เมื่อใดก็ตามที่เพื่อนของคุณต้องการความช่วยเหลือ สิ่งใดช่วยได้ ขอจงอย่าช้า รีบช่วยเหลือตามกำลัง และความสามารถที่คุณจะสามารช่วยเหลือเขาได้ แต่ต้องมาจากความจริงใจเป็นที่ตั้ง เพื่อให้เขารู้สึกว่าคุณคือเพื่อนแท้ของเขาในเวลาที่เขาไม่มีใคร 6. รู้จักให้อภัย เมื่อใดก็ตามที่ความผิดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือ เพื่อนของคุณก็ตาม อย่างแรกที่ คุณควรจะรู้จัก คือคำว่า "ขอโทษ" เพราะ สำหรับเพื่อนแล้ว คำขอโทษ เพียงคำเดียวก็สามารถต่อสายสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ระหว่างคุณกับเพื่อนของคุณได้อย่างลงตัวที่สุดเลย 7. อย่าคิดว่าคุณไม่มีค่า เมื่อใดก็ตามที่คุณ หรือเพื่อนของคุณมีความรู้สึกเช่นนี้ นั่นคือคุณไม่ยอมเปิดกว้างสำหรับมิตรภาพ ซึ่งจะทำให้คุณมองโลกในแง่ร้าย คุณควรจะเปิดตัวเอง ออกมารับรู้และยอมรับ คำว่าเพื่อนไม่มีใครดีหรือเลว เพียงแต่คุณต้องรู้จักการปรับตัว เข้าหาทั้งด้านดี และด้านเลวของคนนั้น ถูกบ้างผิดบ้าง ยังไง ก็ "เพื่อน"กันน่า...นะ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นเพียงหลักการเบื้องต้น ที่จะทำให้คุณมีเพื่อนและสามารถเป็นเพื่อนที่ดีกับผู้อื่นได้ด้วย และเมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถช่วยเหลือเขาได้
บางทีค่าตอบแทน อาจจะไม่ใช่ แก้ว แหวน เงิน ทอง
แต่คุณจะได้สิ่งที่ล้ำค่ากว่าสิ่งเหล่านั้น นั่นก็คือ คำว่า "เพื่อน" ไง ^___^

...................................................................................................

สิ่งสำคัญในชีวิต

3 สิ่งสำคัญในชีวิต




สามสิ่ง..ในชีวิต ที่ไม่หวนกลับ คือเวลา คำพูด และโอกาส
สามสิ่ง..ที่ชีวิตเราจะขาดเสียมิได้ คือความสงบของจิตใจ ความซื่อสัตย์ และความหวัง
สามสิ่ง..ที่มีคุณค่าต่อชีวิต คือความรัก ความมั่นใจในตนเอง และเพื่อนสามสิ่ง..ที่ไม่แน่นอน คือความฝัน ความสำเร็จ และโชคชะตา
สามสิ่ง..ที่นำไปสู่ความพินาศของคน คือเหล้า ความเย่อหยิ่ง และความโกรธ
สามสิ่ง.. ที่ผมได้นำมาฝากเพื่อนๆ นี้ น่าจะเป็นสิ่งเตือนใจในการใช้ชีวิตประจำวันของเพื่อน ๆ ให้มีความสุขได้ไม่มากก็น้อยนะครับ

ตึกที่สูงที่สุด

ใครที่ชื่นชอบความสูงเร่เข้ามา เพราะฉันจะพาไปเล่นของสูง แต่ไม่ใช่แบบเพลงเล่นของสูงของบิ๊กแอสหรอกนะ แต่เป็นพาไปรู้จักกับตึกที่สูงมากถึงสูงที่สุดในโลกในยุคนี้ พ.ศ.นี้ต่างหาก เพราะเมื่อเร็วๆนี้ที่ดูไบได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของตึกใหม่ตึกที่สูงที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน (ไม่นับรวมหอคอยชมเมืองและหอส่งสัญญาณโทรทัศน์) ซึ่งก็คือตึก "เบิร์จ ดูไบ" และแน่นอนเมื่อมีการเปิดตัวตึกที่สูงที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการ ก็ทำให้ตึก "ไทเป 101" ที่เคยสูงที่สุดในโลกได้ถูกทำลายสถิติไปอย่างเป็นทางการด้วยเช่นกัน "เบิร์จ ดูไบ" (Burj Dubai ) หรือในปัจุบันได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "เบิร์จ คาลิฟา" (Burj Khalifa) หรือชื่อเต็มๆว่า "ชีค คาลิฟาร์ บิน ซาย์เอ็ด อัล-นาห์ยัน ทาวเวอร์" ซึ่งตั้งชื่อตามประธานาธิบดีของ UAEเพื่อเป็นการให้เกียรติในฐานะผู้นำประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และผู้นำของนครรัฐอาบู ดาบี สำหรับสิ่งก่อสร้างที่ฉันมองแล้วมีรูปทรงเรียวยาวแหลมสูงคล้ายจรวดแห่งนี้ เริ่มก่อสร้างขึ้นเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาขนาดยักษ์ของเมืองดูไบ เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2547 ออกแบบโดยเอเดรียน สมิธ สถาปนิกชาวชิคาโก ซึ่งเป็นเจ้าเดียวกับผู้ออกแบบ วิลลิสทาวเวอร์ อาคารที่สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา เบิร์จ คาลิฟา สร้างแล้วเสร็จในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา และทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553 ที่ผ่านมา ด้วยความสูง 818 เมตร สูงกว่าอาคารไทเป 101เจ้าของสถิติเดิมถึง 309 เมตร ถือเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกใหม่ล่าสุดในขณะนี้ ไม่เพียงเท่านั้น เบิร์จ คาลิฟา ยังครองสถิติอาคารที่มีจำนานชั้นมากที่สุดคือ 162 ชั้นอีกด้วย

ตึกไทเป 101ไต้หวัน
นอกจากนี้ยังได้ทำลายสถิติหอคอยที่สูงที่สุดในโลกคือหอคอยซีเอ็น ที่โทรอนโท ประเทศแคนาดา ซึ่งมีความสูง 553.3 เมตร และแซงหน้าสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างมา นั่นคือ เสาอากาศโทรทัศน์ KVLY-TV Mast ที่สหรัฐอเมริกาด้วย และเป็นแชมป์สถิติตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลกนับถึงชั้นหลังคา โดยสูงถึง 546 เมตร จากเจ้าของสถิติเดิมคืออาคารไทเป 101 ซึ่งสูง 449.2 เมตร อีกทั้งยังได้ครองสถิติปั๊มคอนกรีตทางดิ่งที่สูงที่สุดในโลกสำหรับการก่อสร้างอาคาร ซึ่งสูงถึง 512.1 เมตร โค้นแชม์อาคารไทเป 101 ที่เคยสูง 439.2 เมตร และยังครองสถิติปล่องลิฟต์ที่ยาวที่สุดในโลกคือ 514 เมตร อีกด้วย แน่นอนว่าตึกที่สูงรองลงมาก็คือ "ไทเป 101" แห่งไต้หวัน ที่สูง 509 เมตร มีจำนวนชั้นทั้งหมด 101 ชั้น ออกแบบโดย ซี.วาย. ลี สถาปนิกชาวไต้หวัน เริ่มสร้างในปี พ.ศ.2543 แล้วเสร็จและเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2547 ไทเป 10เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างเทคโนโลยีลดอันตรายจากแรงลมอันทันสมัยตามหลักวิทยาศาสตร์ กับการตกแต่งด้วยรูปหัวมังกรที่มุมอาคารทั้ง 4 ด้านทุกปล้องเพื่อขับไล่ภูติผีปิศาจ ตามหลักความเชื่อทางไสยศาสตร์จากคำบอกเล่าของซินแส

เซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์(สูง)สูงลำดับที่ 3 ตั้งคู่กับตึกจินเหมาทาวเวอร์(ต่ำ)ที่สูงลำดับที่ 10 ของโลก
ตึกระฟ้าสูงอันดับ 3 ของโลก คือ "เซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์" ตั้งอยู่ที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ตึกแห่งนี้สูง 492 เมตร ประกอบด้วยชั้น 101 ชั้น และชั้นใต้ดินอีก 3 ชั้น สร้างในปี พ.ศ.2540-2551 ถือเป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศจีน แซงหน้าอาคารจินเหมาซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียง

ตึกอินเตอร์เนชันแนลคอมเมิร์ซเซ็นเตอร์ ฮ่องกง
ลำดับ 4 เป็นตึก "อินเตอร์เนชันแนลคอมเมิร์ซเซ็นเตอร์" บนเกาลูนตะวันตก ในฮ่องกง มี 118 ชั้น สูง 484 เมตร ก่อสร้างในช่วงปี พ.ศ.2550-2553โดยที่ตั้งของตึกนี้เรียกว่า ยูนิออนสแควร์เฟส 7 ส่วนชื่ออินเตอร์เนชันแนลคอมเมิร์ซเซ็นเตอร์นั้น ถูกประกาศอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2548

ตึกแฝดเปโตรนาส ครองอันดับที่ 5 และ6 ร่วม
สำหรับตึกสูงลำดับที่ 5 และ 6 คือตึก"เปโตรนาส" ที่มีความสูง 452 เมตร จำนวน88 ชั้น ออกแบบโดย เซซาร์ เปลลี สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2541 ตั้งอยู่บริเวณใจกลางย่านธุรกิจของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เป็นอาคารแฝดมี 2หอคอย ได้รับแรงบันดาลใจจากเสาหินทั้ง 5 ของศาสนาอิสลาม ผสมผสานกับโครงเหล็กที่ห่อหุ้มในแต่ละจุด ทำให้เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามแปลกตามีสะพานเชื่อมลอยฟ้า (Sky Bridge) ในบริเวณชั้นที่ 41 และ 42ซึ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวิวทิวทัศในมุมสูงสุดหวาดเสียวได้ฟรี วันละประมาณ 1,000คน โดยจะต้องมารับตั๋วในตอนเช้าก่อนขึ้นชมในแต่ละรอบ และเนื่องจากอาคารแห่งนี้เป็นตึกแฝดมี 2 หอคอย จึงครองอันดับที่ 5 และ 6 ร่วมกัน อีกทั้งยังครองอันดับตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย

หนานจิงกรีนแลนด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์ ตึกระฟ้าที่สูงเป็นลำดับที่ 7 ของโลก
ตึกสูงอันดับ 7คือตึก "หนานจิงกรีนแลนด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์" มีความสูง 450 เมตร 89 ชั้น ซึ่งเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ.2551และกำลังก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ โดยสถาปนิกคนเดียวกับผู้สร้าง เบิร์จ คาลิฟา ตึกหลังนี้จะมีดาดฟ้าชมวิวบนชั้นที่ 72 ซึ่งอยู่สูงจากพื้นดิน 287 เมตร สามารถมองเห็นภาพมุมกว้างของเมืองหนานกิงและแม่น้ำแยงซี ทะเลสาบสองแห่ง และภูเขาหนิงเจิงได้เป็นอย่างดี

ตึกวิลลิสทาวเวอร์ ในอเมริกา สูงเป็นลำดับที่ 8ของโลก
ตึกสูงอันดับ 8 ได้แก่"วิลลิสทาวเวอร์"หรือมีชื่อเดิมที่คุ้นหูว่า"เซียรส์ทาวเวอร์"ตั้งอยู่ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา สร้างในปี พ.ศ.2513 แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2517 มีความสูง 442 เมตร และมีจำนวนชั้นทั้งสิ้น 108 ชั้น เคยครองตำแหน่งอาคารสูงที่สุดของโลกตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2518 จนถึงปีพ.ศ. 2548 ก่อนจะเสียตำแหน่งให้กับตึกแฝดเปโตรนาสของมาเลเซีย

ตึกกว่างโจวเวสต์ทาวเวอร์ ตึกที่สูงเป็นอันดับที่ 9 ของโลก
ลำดับที่ 9 ได้แก่ “กว่างโจวเวสต์ทาวเวอร์”ตั้งอยู่ที่เมืองกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ตึกระฟ้าขนาด 103 ชั้น สูง 440.2 เมตร ตึกได้เริ่มสร้างในปี พ.ศ.2548 และสร้างถึงจุดสูงสุดในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 และมีการเปิดตัวในปี พ.ศ.2552 ที่ผ่านมา ส่วนตึกสูงเป็นอันดับ 10 ของโลก ได้แก่ "จินเหมาทาวเวอร์" ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน มีความสูง 421 เมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2541 มีจำนวนชั้นทั้งหมด 88 ชั้น ซึ่งคนจีนถือว่าเลข 8 เป็นเลขดีเลขนำโชค รูปแบบการก่อสร้างอาคารแห่งนี้เหมือนกับเจดีย์โบราณของจีน จุดที่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวได้สูงสุดคือโรงแรมเซี่ยงไฮ้แกรนด์ไฮแอท ในชั้นที่ 53-87 และชั้นที่ 88 จะไม่ใช่พื้นที่ของโรงแรม แต่เป็นส่วนที่เรียกว่า สกายวอล์ค เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินเล่นเพื่อดูวิวมุมสูงได้อย่างเต็มที่เลยทีเดียว เมื่อรู้จักกับ 10 อันดับตึกระฟ้าที่สูงที่สุดของโลกปัจจุบันนี้แล้ว ใครที่อยากจะท้าทายความสูงก็สามารถเดินทางไปพิชิตกันได้ ส่วนใครที่ยังกล้าๆกลัวๆก็ลองไปชิมลางกันก่อนได้ที่ "ใบหยก 2 ทาวเวอร์" มหานครกรุงเทพฯ ประเทศไทยของเราได้ ซึ่งตึกใบหยก 2 แห่งนี้สูงเป็นลำดับที่ 47ของโลก ด้วยความสูง 304 เมตร จำนวน 88 ชั้นรวมชั้นใต้ดิน ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2540 ในชั้นที่ 77 และ 84 เป็นชั้นสำหรับชมวิว โดยที่ชั้น 84 เป็นดาดฟ้าหมุนได้รอบ ทั้งสองชั้นนี้เปิดให้เข้าชมระหว่างเวลา 10.30 ถึง 22.00 น. แต่ในปี 2553 นี้ตึกใบหยก 2 ที่สูงที่สุดในประเทศไทยอาจจะถูกทำลายสถิติ โดยตึก "โอเชี่ยนวัน" (Ocean 1 Tower) คอนโดใจกลางพัทยา ซึ่งปัจจุบันกำลังก่อสร้างมีความสูง91 ชั้น 327 เมตร สูงกว่าตึกใบหยก 2 ถึง 23 เมตร คาดว่าจะเป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทยและเป็นที่พักอาศัยที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * หมายเหตุ : ข้อมูลลำดับ 10 ตึกสูงที่สุดในโลกอ้างอิงจากวิกิพีเดีย

วันสำคัญของคริสต์

1. วันอาทิตย์ (Sunday) เป็นวันพระเจ้าที่ชาวคริสต์หยุดงานและจะไปปฏิบัติศาสนกิจร่วมพิธีมิสซาที่โบสถ์
ที่ใกล้เคียง
2. วันคริสต์มาส(Christmas)คือ วันสมโภชการเกิดมาของพระเยซู ตรงกับวันที่ 25ธันวาคมของทุกปี
3. วันสมโภชปัสกา(Pasqua) หรือ Easterคือวันสมโภชการกลับคืนชีพของพระเยซูตรงกับวันอาทิตย์แรก
หลังจากวันพระจันทร์เต็มดวง ระหว่างวันที่ 21มีนาคม ถึง 25 เมษายนวันใดวันหนึ่ง
4. วันสมโภชเกี่ยวกับพระนางมารีอา เช่น สมโภชแม่พระได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ
(Mary Assumption) ตรงกับวันที่ 15 สิงหาคม และสมโภชแม่พระปฏิสนธินิรมล (Mary Immaculate
Conception) ตรงกับวันที่ 8 ธันวาคม ของทุกปี
5. วันฉลองเกี่ยวกับนักบุญ เช่น นักบุญทั้งหลาย (All Saints day) ตรงกับวันที่ 19 มีนาคมวันฉลอง
นักบุญเปโตรและเปาโลตรงกับวันที่ 29 มิถุนายน
6.วันฉลองเกี่ยวกับทูตสวรรค์ เช่น ฉลองทูตสวรรค์มีคาแอล คาเบรียล และราฟาแอลทุกวันที่ 29กันยายนของทุกปี
7. คาทอลิกยังมีวันฉลองอีกหลายวัน ซึ่งจะถูกบรรจุไว้ในปฏิทินคาทอลิก
- วันที่ 1 มกราคม วันสมโภชพระนางมารีย์ พระชนนีพระเป็นเจ้า
- วันที่ 8 มกราคม วันสมโภชพระคริสตเจ้าแสดงองค์
- วันที่ 1 มีนาคม วันพุทธรับเถ้า
- วันที่ 19 มีนาคม วันสมภพนักบุญยอเซฟ ภัสดาของพระนางพรหมจารีย์มารีย์
- วันที่ 9 เมษายน วันอาทิตย์มหาทรมาน (แห่ใบลาน) ระลึกถึงการเข้ารับมหาทรมานของพระเยซูคริสตเจ้า
- วันที่ 13 เมษายน วันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ ระลึกถึงพระ เยซูคริสตเจ้า ทรงตั้งศีลมหาสนิทเพื่อเป็นอนุสรณ์
ถึงพระองค์
- วันที่ 14 เมษายน วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ พระเยซูเจ้าทรงรับทรมานและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ระลึกถึง
พระเยซูคริสตเจ้า ทรงรับทรมานและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
- วันที่ 15 เมษายน วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ ระลึกถึงชัยชนะที่ทำให้ มนุษย์มีความหวังที่จะชนะอำนาจบาป ความ
มืด และความชั่วทั้งหลาย
-วันที่ 16 เมษายน วันสมโภชพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ (วันปัสกา)
- วันที่ 28 พฤษภาคม วันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ ระลึกถึงการที่เราจะได้กลับไปมีชีวิตอยู่กับ
พระบิดาเจ้าพร้อมกับพระคริสตเจ้า ผู้นำเราเข้าสู่พระราชัยสวรรค์
- วันที่ 4 มิถุนายน วันสมโภชพระจิตเจ้า ฉลองพระ บุคคลที่ 3 ของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพละกำลังของมนุษย์
- วันที่ 11 มิถุนายน วันสมโภชพระตรีเอกภาพประกอบด้วยสามพระบุคคล คือ พระบิดา พระบุตร
พระจิตที่ทรงเป็นหนึ่ง
- วันที่ 18 มิถุนายน วันสมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า ระลึกถึงพระเยซูคริสตเจ้าภายใต้ รูป
ลักษณ์ของขนมปังและเหล้าองุ่นในพิธีมิสซาบูชา
- วันที่ 29 มิถุนายน วันสมโภชนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล อัครสาวก
- วันที่ 15 สิงหาคม วันสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์
-วันที่ 1 พฤศจิกายน วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย
- วันที่ 26 พฤศจิกายน วันสมโภชพระเยซูเจ้ากษัตริย์แห่งสากลจักรวาล
- วันที่ 8 ธันวาคม วันสมโภชพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล

สถานที่เที่ยวสมุทรสงคราม

January : เดือนมกราคม งานสุนทราภรณ์คืนถิ่น : Suntraporn The Musical February : เดือนกุมภาพันธ์ งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ร.2 : The enhance the king rama 2 (ณ อุทยาน ร.2) ชมนิทรรศการ สาธิตศิลปวัฒนธรรมไทย ชมนาฎศิลป์ตามบทพระราชนิพนธ์ของ ร.2 รัชกาลที่ 2 การประกวดพันธุ์ไม้ต่าง ๆ สินค้าพื้นเมือง ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ พันธุ์ไม้ของที่ระลึก และของฝากจากจังหวัดสมุทรสงครามในราคาย่อมเยา งานเทศกาลส้มโอขาวใหญ่ ครั้งที่ 1 : Pomelo Festival 1 st ณ ศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม จำหน่ายผลผลิตของเกษตรกร และสินค้าพื้นเมือง ชมนิทรรศการการเกษตร จำหน่ายผลผลิตของเกษตรกร ผลิตภัณฑ์กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร ประกวดผลไม้ พืชผัก ไม้ดอก ไม้ประดับ ชมการแสดงต่างๆ April : เดือนเมษายน นมัสการหลวงพ่อบ้านแหลม : Celebrate the Ban-Laem venerable monk ณ วัดเพชรสมุทรวรวิหาร ต.แม่กลอง มีการแห่รูปหล่อจำลองหลวงพ่อบ้านแหลม และรูปหล่อท่านเจ้าคุณมหาสิทธิการ (ทอง) แห่รถนางสงกรานต์ และสรงน้ำพระสงฆ์ วันลิ้นจี่และของดีเมืองแม่กลอง : Maeklong Lychee Festivalณ ศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม จำหน่ายผลผลิตของเกษตรกร และสินค้าพื้นเมือง ประกวดรถบุปผชาติ ชมการแสดงดนตรี นาฎศิลป์ ฯลฯ งานประเพณีวันสงกรานต์ก่อพระเจดีทราย : Song-kran Festival May : เดือนพฤษภาคม งานตะวันรอนดอนหอยหลอด : Razor Clam Festivalณ ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อ.เมือง สักการะพระบรมรูปกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อนุรักษ์ดอนหอยหลอด จำหน่ายสินค้าพื้นเมือง อาหารทะเล และผลิตผลของเกษตรกร ชมกีฬาทะเล เช่น กอล์ฟ มวยทะเล ปีนเสาน้ำมัน วิ่งมาราธอน ฯลฯ August : เดือนสิงหาคม วันส้มโอขาวใหญ่ครั้งที่ 2 : Pomelo Festival 2 ndณ ศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม ชมนิทรรศการการเกษตร จำหน่ายผลผลิตของเกษตรกร ผลิตภัณฑ์กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร ประกวดผลไม้ พืชผัก ไม้ดอก ไม้ประดับ ชมการแสดงต่างๆ September : เดือนกันยายน งานประเพณีแข่งเรือพาย ตักบาตรขนมครก : Rowboat race October : เดือนตุลาคม งานแรลลี่เรือหางยาว : Long tailed boat race November : เดือนพฤศจิกายน งานลอยกระทงสายกาบกล้วย : Loi-Krathong Festival(Krathong was made by Leaf sheath of banana tree)ที่อัมพวา อุทยาน ร.2 และพื้นที่ใกล้เคียง วัดลาดเป้ง อ.เมือง มีการประกวดกระทงขนาดใหญ่ กลาง เล็ก แข่งขันเรือชิงถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีแข่งขันเรือพายท้องถิ่น December : เดือนธันวาคม งานเทศกาลกินปลาทูและของดีเมืองแม่กลอง : Mackerel Festival ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด มีการจำหน่ายเมนูอาหารที่ทำจากปลาทูหลากหลาย ปรุงรสโดยร้านอาหารชื่อดังภายในจังหวัดสมุทรสงคราม พบกับลานวิถีชุมชนคนแม่กลอง ภายในประกอบด้วยลานชุมชนคนประมง นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสโป๊ะปลาทูจำลอง นิทรรศการปลาทูและปลาทูตัวเป็นๆ ลานชุมชนคนยี่สาร ลานแกลลอรี่ ลานสุขภาพ ลานคนดี ลานศิลปะและประติมากรรม ลานดนตรียามเย็น ลานสาระในสวน ลานแม่กลองออนทัวร์ ฯลฯ ชมมหรสพหลากหลายในภาคกลางคืน งานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช : The enhance the king Tak-Sin prestige งานกล้วยไม้บาน : The orchid festivalณ อุทยาน ร.2 มีการนำกล้วยไม้สายพันธุ์ต่าง ๆ ที่ชนะเลิศการประกวดทั้งจากภายในและต่างประเทศมาแสดง จำหน่ายผลิตภัณฑ์พื้นเมือง ชมทัศนียภาพอันงดงามภายในอุทยาน ร.2

เที่ยวหัวหิน

ภาพประกอบจาก Kidsanook และทางอินเทอร์เน็ต หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ (วันหยุดที่แสนจะน้อย...) เราขอแนะนำ "หัวหิน" สถานที่พักผ่อนสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เนื่องจากอยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ มากนัก ตั้งอยู่ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ นี่เอง (ใกล้แค่เอื้อม 555) "หัวหิน" นับเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย จากแต่เดิมที่เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมง และได้ถูกเปลี่ยนแปลงจนกลายมาเป็นสถานที่พักผ่อนติดทะเล ที่ติดอันดับความนิยมของประเทศในตอนนี้ (วู้ว... สุดยอด !!) ปัจจุบัน "หัวหิน" มีที่พัก รีสอร์ท และโรงแรมชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรีสอร์ทของชาวบ้านเอง หรือรีสอร์ทที่เป็นระดับห้าดาว ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเสน่ห์ของหัวหินยังคงเป็นเอกลักษณ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาพักผ่อนตลอดทั้งปี... หัวหิน... หัวหิน... หัวหิน... เมื่อพูดถึง "หัวหิน" หลายคนมักนึกถึงแต่ทะเล เที่ยวทะเล... เที่ยวทะเล... เที่ยวทะเล... แต่จริงๆ แล้ว "หัวหิน" ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจรอบเมืองอีกมากมายนะคะ ว่าแล้วเราไปดูกันดีกว่าว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวกันบ้าง...

พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน รัชกาลที่ 6 โปรดให้รื้อพระตำหนักหาดเจ้าสำราญมาปลูกขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ.2466 ได้รับขนานนามว่า "พระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง" ลักษณะเป็นพระตำหนักไม้สองชั้น หันหน้าออกสู่ทะเล พระตำหนักฝ่ายในอยู่ปีกขวา ทางปีกซ้ายเป็นส่วนของฝ่ายหน้า ประกอบด้วยพระที่นั่งสามองค์เชื่อมต่อถึงกันโดยตลอด "พระที่นั่งสุนทรพิมาน" เป็นที่ประทับของพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรชายา "พระที่นั่งพิศาลสาคร" เป็นที่ประทับของพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหมู่พระที่นั่งตรงกลางประกอบด้วยห้องต่างๆ สำหรับสำราญพระอิริยาบถ ห้องพักข้าราชบริพารที่คอยรับใช้ใกล้ชิด ห้องทรงพระอักษร และ "พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ " เป็นอาคารโถงสองชั้นเปิดโล่งใช้เป็นที่ประชุมในโอกาสต่างๆ และเป็นโรงละคร ซึ่งเคยจัดแสดงละครครั้งสำคัญ 2 ครั้ง คือ เรื่องพระร่วง และวิวาห์พระสมุทร พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เปิดให้เข้าชมทุกวัน ระหว่างเวลา 08.00 - 16.00 น. สำหรับผู้เข้าชมเป็นหมู่คณะ ต้องทำหนังสือถึงผู้กำกับการกองบังคับการฝึกพิเศษ ค่ายพระรามหก อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โทร. (032) 471388 , 471130
พระราชวังบ้านปืน พระราชวังบ้านปืน หรือ พระรามราชนิเวศน์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้สร้างด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อเป็นพระราชนิเวศน์ สำหรับประทับแรมในฤดูฝน ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดซื้อที่จากราษฎร และให้จอมพลเรือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้า บริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต กับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นแม่กองจัดการก่อสร้าง สร้างแบบสถาปัตยกรรมยุโรป ออกแบบโดยมิสเตอร์คาลเดอริง ชาวเยอรมัน เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2452 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2459 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า พระที่นั่งศรเพ็ชรปราสาท และทรงเปลี่ยนเป็น"พระรามราชนิเวศน์" ปี พ.ศ. 2461 ใช้เป็นที่รับรองแขกเมือง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนผู้กำกับลูกเสือ โรงเรียนฝึกหัดครูเกษตรกรรม โรงเรียนประชาบาลประจำตำบล ฯลฯ การเข้าชมต้องทำหนังสือล่วงหน้าถึงผู้บังคับการจังหวัดทหารบก กองพันที่ 3 กรมทหารราบที่ 11 อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี 76000 หรืออาจติดต่อที่ป้อมยามแลกบัตรเพื่อขอเข้าชมอย่างไม่เป็นทางการ
สถานีรถไฟหัวหิน (พลับพลาสถานีรถไฟ) "สถานีรถไฟหัวหิน" เป็นหนึ่งในสถานีรถไฟที่เก่าแก่ที่สุดของไทย สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของสถานีรถไฟแห่งนี้ คือ พลับพลาในแบบสถาปัตยกรรมไทยเด่นสะดุดตา ซึ่งได้ย้ายมาจากพระราชวังสนามจันทน์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 6 มีความสวยงามทางด้านสถาปัตย์และศิลป์ ซึ่งใครที่เห็นจะรู้สึกประทับใจ สถานียังคงเปิดให้บริการจวบจนทุกวันนี้ (ว้าว...) เขาหินเหล็กไฟ จุดชมวิวตัวเมืองและอ่าวหัวหินที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง ประกอบด้วยจุดชมวิวหลายจุด ที่สำคัญคือเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ ยังมีศูนย์สินค้าพื้นเมือง สวนนก ร้านขายอาหาร และเครื่องดื่ม เป็นต้น ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองหัวหินไปทางทิศตะวันตกประมาณ 3 ก.ม. ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการชมพระอาทิตย์ คือ ช่วงเช้าตรู่ และยังมีสวนสาธารณะไม้ดอก สวนผีเสื้อ อยู่บนเขา และมีจุดชมวิวเห็นตัวเมืองหัวหิน สนามกอลฟ์ และทะเล (ยืนชมวิวกับคนรักก็เก๋ไม่เบา อิอิ)
เขาตะเกียบ เขาไกรลาส มีวัดตั้งอยู่บนภูเขาซึ่งยื่นออกไปในทะเล ตั้งอยู่ห่างตัวเมืองทางทิศใต้ 6 ก.ม. ภายในบริเวณวัดร่มรื่น เย็นสบาย มีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมประดิษฐานอยู่ เป็นจุดที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพอ่าวหัวหินที่งดงามมากจุดหนึ่ง รอบเขาตะเกียบนี้มีที่พักและร้านอาหารให้บริการหลายแห่ง และยังมีภูเขาลูกเล็กๆ 2 ลูกอยู่ใกล้กัน ห่างจากหัวหินไปทางใต้ประมาณ 14 กิโลเมตร เขาตะเกียบมีโขดหินที่ยื่นออกไปในทะเล มีความสวยงามเหมาะกับการพักผ่อนเป็นที่สุด และยังมีจุดชมวิวสวยๆ อีกด้วย
เขาช่องกระจก อยู่ด้านหลังศาลากลางจังหวัด แม้จะสูงชัน แต่มีบันไดขึ้นไปจนถึงยอดเขา แต่ขึ้นไปแล้วรับรองคุ้มค่า เพราะจะได้เห็นทิวทัศน์ของตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์ และทางทิศเหนือของภูเขาลูกนี้มีช่องคล้ายกรอบกระจก จึงเรียกว่า "เขาช่องกระจก" ที่สำคัญบนเขานี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธบาทจำลองด้วย
หาดสวนสนประดิพัทธ์ อยู่ห่างจากหัวหินไปทางทิศใต้ประมาณ 9 กิโลเมตร โดยมีทางแยกจากถนนเพชรเกษมที่ กม. 240 เข้าไปประมาณ 500 เมตร มีรถโดยสารจากหัวหินไปยังสวนสนทุก 20 นาที บริเวณชายหาดมีที่พักลักษณะเป็นบังกะโล เรือนแถว และห้องพัก ไว้คอยให้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย เกาะสิงโต ตั้งอยู่ห่างจากฝั่งสวนสนประมาณ 800 เมตร เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีผู้นิยมไปตกปลาและดำน้ำ ติดต่อเช่าเรือได้ที่หมู่บ้านเขาตะเกียบ
หาดหัวหิน ชายหาดอันเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักตากอากาศที่มีชื่อเสียงแห่งแรกของเมืองไทย ด้วยน้ำทะเลใส ทรายสะอาด บรรยากาศดี จึงเป็นที่ใฝ่ฝันและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมานานทุกยุคทุกสมัย ตลาดโต้รุ่งหัวหิน นับเป็นสีสันยามราตรีของหัวหิน ทุกเย็นมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแวะเวียนไปเสมอ เพราะเป็นแหล่งรวมแผงอาหารนานาชนิด ทั้งอาหารไทย อาหารทะเล ขนมไทย โรตีแขก ปรุงสดๆ ให้เลือกสรร นอกจากนั้นยังมีของที่ระลึกจำหน่ายมากมาย สวนหลวงราชินี สวนสาธารณะริมทะเลแห่งใหม่ของหัวหิน 19 ถ.เพชรเกษม ก่อนถึงตัวเมืองหัวหิน 2 ก.ม.เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และจัดกิจกรรมต่างๆ มีดนตรีฟังสบายๆ ทุกเย็นวันศุกร์
น้ำตกป่าละอู น้ำตกสวยงามขนาด15 ชั้น กลางป่าดิบชื้นอันอุดมสมบูรณ์ ตั้งอยู่ในเขตตำบลหนองพลับ อ.หัวหิน ห่างจากตัวเมืองหัวหินไปทางทิศตะวันตกประมาณ 60 กิโลเมตร ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มีน้ำไหลตลอดปี เป็นแหล่งที่มีผีเสื้อชุกชุม ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการท่องเที่ยว คือ ช่วงเช้าตรู่ ประมาณ 07.00 - 10.00 น. เนื่องจากอากาศเย็นสบายและมีโอกาสพบสัตว์ป่า รวมทั้งนกหายากหลายชนิด เช่น นกเงือก
อุทยานแห่งชาติสามร้อยยอด ตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของกิ่งอำเภอสามร้อยยอด ตามตำนานเล่าว่าเดิมเคยเป็นทะเลที่มีเกาะแก่งมากมาย เรือสำเภาจีนเดินทางค้าขายผ่านมาและเกิดอัปปางลง ลูกเรือว่ายน้ำหนีขึ้นฝั่งรอดชีวิต 300 คน จึงตั้งชื่อว่า "เขาสามร้อยรอด" แล้วเพี้ยนมาเป็น "เขาสามร้อยยอด" ซึ่งพ้องกับลักษณะ 4 ภูมิประเทศ ที่เป็นเขาหินปูนมากมายนับไม่ถ้วนนั่นเอง เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรก ด้วยเนื้อที่ 98 ตารางกิโลเมตร ภูมิประเทศประกอบด้วยเทือกเขาหินปูนสลับซับซ้อน ลำคลอง และที่ราบน้ำท่วมถึง เกิดเป็นทุ่งหนองมีพืช ปลา สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ค่างแว่นถิ่นใต้ เลียงผา นก ซึ่งมีทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพมากมายถึงกว่า 300 ชนิด เป็นระบบนิเวศแห่งพื้นที่ชุ่มน้ำที่สมบูรณ์และมีความสำคัญในระดับประเทศ โอ๊ะโอ้ว... นี่เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวส่วนหนึ่งที่เรานำมาฝากเท่านั้นนะคะ ที่ "หัวหิน" ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมายรอให้คุณไปสัมผัสด้วยตัวเอง... ขอบอกว่าไม่ไปไม่รู้จริงจริ๊ง... สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรายละเอียดท่องเที่ยวต่างๆ ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ต่อไปนี้ค่ะ ศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยว โทร.0-3253-2433 สำนักงานการท่องเที่ยวภาคกลางเขต 2 (ททท.) โทร. 0-3247-1005-6 สถานีตำรวจ โทร.0-3251-5995 ที่ทำการไปรษณ๊ย์ โทร. 0-3251-1063 สถานีกาชาดเฉลิมพระเกียรติ โทร.0-3251-10124 สถานีรถปรับอากาศหัวหิน โทร.0-3251-1654 สถานีรถไฟหัวหิน โทร.0-3251-1073 สถานีขนส่งหัวหิน (บขส.) โทร 0-3251-1230 ท่าอากาศยานหัวหิน โทร. 0-3252-0343 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โทร.0-3251-3574 สถานีตรวจอากาศหัวหิน โทร.0-3251-1172 ศูนย์ร่วมด้วยช่วยกันหัวหิน โทร.0-3251-9111, 191 ข้อมูลการเดินทาง โดยรถยนต์ส่วนตัว ได้ 2 เส้นทาง - สายธนบุรี - ปากท่อ (ทางหลวงหมายเลข 35) ผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงคราม แล้วเลี้ยวซ้ายเข้า ถ.เพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ผ่านเพชรบุรี เข้าหัวหิน ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง - สายพุทธมณฑล ผ่านนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ประมาณ 3 ชั่วโมง โดยรถโดยสาร เริ่มต้นที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ รถปรับอากาศมี 2 ประเภท คือ ชั้น 1 และ ชั้น 2 รถปรับอากาศชั้น 1 จะจอดเฉพาะอำเภอที่สำคัญเท่านั้น ส่วนรถปรับอากาศชั้น 2 จะแวะจอดรับผู้โดยสารระหว่างทางด้วย รถปรับอากาศชั้น 1 บ.พุดตานทัวร์ โทร.02-435-5302 บ.หัวหิน-ปราณทัวร์ 02-884-6191-2 บางสะพานทัวร์ 02-435-5105 รถปรับอากาศชั้น 2 รถร่วมบริการ 02-437-7414 โดยรถไฟ มีรถไฟไปหัวหินทุกวัน เริ่มที่หัวลำโพง โทร. 02-233-7010 , 02-223-7020 เริ่มที่สถานีธนบุรี-บางกอกน้อย โทร. 02-411-3104 โดยเครื่องบิน โดยบริษัทบางกอกแอร์เวย์ มีเที่ยวบินกรุงเทพฯ-หัวหิน วันละ 1 เที่ยว โทร. 02-229-3456-63

วันสำคัญของอิสลาม

วันสำคัญทางศาสนาอิสลาม
วันและเดือนที่สำคัญในอิสลามเดือนฮารอม อัลลอฮ์ตรัสไว้ในบท อัตเตาบะห์ โองการที่ 136 ความว่า “แท้จริงจำนวนเดือน ณ อัลลอฮ์มี ๑๒ เดือน โดยระบุในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ในวันที่พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ในจำนวนนี้มี 4 เดือนต้องห้าม”ท่านศาสดามุฮัมมัด กล่าวไว้ ความว่า “แท้จริง การเวลานั้นได้หมุนเวียนไปเหมือนกับสภาพของมันในวันที่มีการสร้างฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดิน ๑ ปีมี ๑๒ เดือน ในจำนวนนี้มี 4 เดือนที่ต้องห้ามโดยมี ๓ เดือนติดต่อกันคือ เดือนซุ้ลก้ออ์ดะห์ ซุลฮิจยะห์และมุฮัรรอม และเดือนรอญับซึ่งอยู่ระหว่างเดือนญุมาดัลอาคิเราะห์และเดือนชะอ์บาน” โดย บุคอรีและมุสลิม คำว่า “เดือนต้องห้าม” หมายความว่า ห้ามทำการสู้รบ และห้ามทำการล้างแค้นกันซึ่งมีมาในสมัยญาฮิลียะห์ (ยุคก่อนที่ท่านศาสดามุฮัมมัดจะเผยแพร่ศาสนา) เดือนมุฮัรรอม
มุฮัรรอม เป็นเดือนแรกของปฏิทินอิสลาม ส่วนวันที่สำคัญในเดือนนี้ได้แก่ วันอาชูรออ์คือวันที่ ๑๐ มุฮัรรอม เป็นวันที่ท่านศาสดามุฮัมมัด ได้ส่งเสริมให้ถือศีลอดและรวมถึงวันที่ ๙ มุฮัรรอม ด้วย เดือนร่อบีอุ้ลเอาวัล นักวิชาการต่างมีความเห็นตรงกันว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด เกิดในวันจันทร์ที่ ๑๒ เดือนร่อบีอุ้ลเอาวัล ปีช้าง วันฮิจเราะห์ การกำหนดปีฮิจเราะห์ศักราช ท่านศาสดามุฮัมมัดได้อพยพไปถึงนครมะดีนะห์ในวันจันทร์ที่ ๑๒ เดือนร่อบีอุ้ลเอาวัล ขณะเดียวกันก็ได้มีการคัดเลือกให้เดือนมุฮัรรอมเป็นเดือนแรกของศักราช โดยเหตุนี้จึงทำให้ปีฮิจเราะห์มีมาก่อนการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัดที่แท้จริงเป็นเวลา ๑ เดือน ๑๒ วัน วันตายของท่านศาสดานบีมุฮัมมัด คือวันจันทร์ที่ ๑๒ เดือนร่อบีอุ้ลเอาวัล ฮ.ศ. ๑๑ ตรงกับวันที่ ๑๑ มิถุนายน ค.ศ. ๖๓๒ (พ.ศ. ๑๑๗๖) เดือนร่อญับ ร่อญับเป็นเดือนที่ ๗ ของปฏิทินอิสลาม และเป็นเดือนต้องห้ามเดือนเดียวที่อยู่โดดเดี่ยวจากเดือนอื่น และมีการกล่าวว่าในคืนวันที่ ๒๗ ของเดือนนี้เป็นวันเมี๊ยะราจของท่านศาสดามุฮัมมัด ซึ่งนักวิชาการโดยท่านอิหม่ามนะวาวีได้กล่าวให้น้ำหนักว่า วันเมี๊ยะราจของท่านศาสดามุฮัมมัดนั้นเกิดขึ้นในวันที่ ๒๗ ของเดือนร่อบีอุลเอาวาล เดือนชะอ์บาน ชะอ์บาน เป็นเดือนที่ ๘ ของปฏิทินอิสลาม สิ่งที่ท่านศาสดามุฮัมมัด ได้ปฏิบัติโดยเป็นแบบอย่างให้แก่มุสลิมคือการถือศีลอด ซึ่งเป็นสิ่งที่ชอบให้มุสลิมปฏิบัติด้วย เดือนรอมฎอน รอมฎอน เป็นเดือนที่ ๙ ของปฏิทินอิสลาม ที่มวลมุสลิมทั่วโลกถือศีลอด และในขณะเดียวกันอัลลอฮ์ได้ทรงให้เดือนนี้เป็นเดือนแห่งความประเสริฐ เป็นเดือนแห่งความจำเริญ และเป็นเดือนแห่งการสะสมความดี โดยใน ๑๐ วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน ท่านศาสดาได้สั่งใช้ไว้ว่า “ท่านทั้งหลายจงแสวงหาคืน อัลก้อดร์ ในคืนคี่ของ ๑๐ คืนสุดท้ายของเดือนรอมฎอน” ฮะดีษนำเสนอโดย บุคอรี จากท่านหญิงอาอิชะห์ เดือนเชาวาล ความสำคัญของเดือนเชาวาลคือ วันที่หนึ่งของเดือนเป็นวันอีดิลฟิฏร์ วันอีดในอิสลามมี ๒ วันคือ วันอีดิลฟิฏร์ และวันอีดิลอัฎฮา วันอีดิลฟิฏร์จะตรงกับวันที่ ๑ ของเดือนเชาวาล และวันอีดิลอัฎฮาจะตรงกับวันที่ ๑๐ ของเดือนซุลฮิจยะห์ วันอีดทั้งสองนี้ อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดให้เป็นวันรื่นเริงของมุสลิม
การถือศีลอด ๖ วัน ความดีที่ควรปฏิบัติในเดือนเชาวาลอีก ได้แก่ การถือศีลอด ๖ วัน เพราะจะทำให้ได้รับภาคผลเท่ากับการถือศีลอด ๑ ปี เดือนซุลฮิจยะห์ ซุลฮิจยะห์ เป็นเดือนที่มีความสำคัญ โดยเกี่ยวข้องกับการประกอบพิธีฮัจย์ และท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า “ไม่มีวันใดๆ ที่ยิ่งใหญ่ ณ อัลลอฮ์ และไม่เป็นที่รักยิ่ง ณ อัลลอฮ์ โดยการปฏิบัติความดีในวันเหล่านั้นยิ่งกว่า ๑๐ วันแรกของเดือนซุลฮิจยะห์ ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงกล่าว ตัสเบียะห์ (ซุบฮานัลลอฮ์) ตะห์ลีล (ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์) ตั๊กบีร (อัลลอฮุอักบัร) ให้มากในวันเหล่านั้น"การถือศีลอดในวันอารอฟะห์ คือวันที่ ๙ ของเดือนซุลฮิจยะห์ ท่านศาสดามุฮัมมัด กล่าวว่า “การถือศีลอดในวันอารอฟะห์ แท้จริง ฉันหวังว่า อัลลอฮ์จะทรงอภัยโทษ (ในความผิด) ๑ ปีก่อนหน้าวันนี้ และ ๑ ปี หลังวันนี้” วันอีดิลอัฎฮาและวันตัชรีก ท่านศาสดามุฮัมมัด ได้กล่าวถึงความสำคัญของวันอีดิลอัฎฮาและวันตัชรีกไว้ว่า เป็นวันที่มีการปฏิบัติอิบาดะห์ (ศาสนกิจ) และเป็นวันรื่นเริงจึงห้ามการถือศีลอดในวันดังกล่าว และท่านได้กล่าวอีกว่า “วันอารอฟะห์ วันนะหร์ (อีดิลอัฎฮา) และวันตัชรีก (๑๑-๑๒-๑๓ ของเดือนซุลฮิจยะห์) เป็นวันรื่นเริงของเรา โอ้ชาวอิสลาม มันเป็นวันแห่งการกิน และการดื่ม”ผลานิสงค์ของการถือศีลอดในวันจันทร์และวันพฤหัสบดี ท่านศาสดามุฮัมมัด กล่าวว่า “การงานจะถูกนำเสนอ ณ อัลลอฮ์ ในทุกวันจันทร์และวันพฤหัสบดี ดังนั้น ฉันจึงชอบที่จะให้การงานของฉันถูกนำเสนอ โดยที่ฉันถือศีลอด”
ความสำคัญของวันศุกร์ ท่านศาสดามุฮัมมัด กล่าวว่า “ผู้ใดที่อาบน้ำละหมาด โดยเขาอาบน้ำละหมาดอย่างดี แล้วไปละหมาดญุมุอะห์ (วันศุกร์) และฟังคุฏบะห์ (ธรรมกาถา) โดยสงบนิ่ง เขาจะได้รับการอภัยโทษ ระหว่างวันศุกร์นั้นและวันศุกร์ต่อไป และเพิ่มอีก 3 วัน และผู้ใดที่ลูบคลำเม็ดหิน (ไม่สนใจฟังคุฏบะห์) แท้จริง เขาทำให้ผลบุญในการละหมาดวันศุกร์เป็นโมฆะ” บันทึกโดยมุสลิม
เดือนในปฏิทินอิสลามทั้ง ๑๒ เดือน ได้แก่ ๑. มุฮัรรอม ๒. ซอฟัร ๓. ร่อบีอุลเอาวาล ๔. ร่อบีอุลอาคิร ๕. ญุมาดัลเอาวัล ๖. ญุมาดัลอาคิร ๗. รอญับ ๘. ชะอ์บาน ๙. รอมฎอน ๑๐. เชาวาล ๑๑. ซุลเก๊าะดะห์ ๑๒. ซุลฮิจยะห์















เทคนิคเรียนเก่ง

เทคนิคการเรียนให้เก่ง
พูดถึงเรื่องเรียน ใครๆก็อยากเก่งกันทุกคน แต่คงมีหลายคน ที่อาจจะท้อแท้กับการเรียน นักวิชาการและนักวิจัยต่างๆ ได้ทำการสำรวจและวิจัย พบว่าเทคนิคการเรียนต่างๆจากหลายๆคนแตกต่างกันไป ก็เลยนำมาเสนอให้เพื่อนๆที่สนใจได้อ่านด้วย เราไปดูกันดีกว่าว่า การเรียน เก่ง เขามีเทคนิคอะไร ยังไง
จากการวิจัยและวิเคราะห์ของนักแนะแนวการศึกษาและนักจิตวิทยาหลายคนพบว่า ผู้ที่เรียนไม่ค่อยประสบความสำเร็จหรือเรียนแบบไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ได้แก่ผู้ที่มีลักษณะดังนี้
- เป็นคนที่มักละทิ้งงานไว้ก่อนก่อนจึงค่อยทำ เมื่อถึงนาทีสุดท้าย
- เสียสมาธิ หันเห ความสนใจไปจากการเรียนได้โดยง่าย
- เมื่อทำงานที่ยากๆ จะสูญเสียความสนใจ หรือขาดความมานะ พยายามนั่นเอง
- มักใช้เรื่องของการสอบ เป็นเครื่องกระตุ้นการเรียน
- ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีตารางการทำงานอย่าวงสม่ำเสมอ
การเรียนที่มีประสิทธิภาพควรมีลักษณะดังนี้คือ
- ควรมีตารางเรียนและทำงานตรงตามเวลาที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ
- ทำงานในระยะเวลาที่ไม่นานนักและควรมีการหยุดพักผ่อน
- ไม่ปล่อยงานค้างไว้จนวินาทีสุดท้าย
- ควรตั้งสมาธิให้แน่วแน่ ไม่เสียสมาธิง่าย
- อย่าใช้การสอบเป็นนแรงจูงใจในการอ่านหนังสือ
- ควรอ่านหนังสือก่อนเข้าห้องเรียนตามสมควร
- เข้าฟังการบรรยาย สัมมนาแล้วควรกลับไปอ่านทบทวน
- พยายามอย่าละเลยวิชาที่ยากกว่าวิชาอื่นๆ
- ควรมีความรู้ในการใช้บริการห้องสมุดด้วยเป็นดี
- ปรับปรุงคำบรรยาย ที่จดจากห้องเรียนให้กระชับ กะทัดรัดและเข้าใจง่าย
- พยายามทำให้การเรียนเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และสนุกสนานกับมัน
- ควรมีแรงกระตุ้นกับมันและไม่ควรทำงานหนักเกินไปในวันหยุด
- เมื่อพยายามปฏิบัติทุกข้ออย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้เรียนได้ดี
จากการวิจัยเรื่องลักษณะการอ่านหนังสือหลายๆคนมักจะทำกันอย่างนี้
- อ่านหนังสือเที่ยวนึงก่อน แล้วกลับมาอ่านซ้ำอีกที
- ขีดเส้นใต้ใจความหลักและรายละเอียดที่สำคัญในตำรา
- อ่านอย่างตั้งใจแล้วทำบันทึกเค้าโครงสั้นๆไว้ เพื่อประหยัดเวลาในการอ่านทบทวน
ซึ่งนักวิเคราะห์สรุปว่า วิธีที่3ค่อนข้างจะดีกว่าข้ออื่นๆแต่การทำพร้อมๆกันทั้ง 3 วิธี เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการอ่านหนังสือเลยทีเดียว
Thorndike กล่าวว่า ประสบการณ์ก่อให้เกิดความชำนาญ เขาใด้ตั้งกฎแห่งการเรียนไว้ 3 อย่างซึ่งพูดถึงการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น การตอบรับ การฝึกหัดเพื่อก่อให้ เกิดประสบการณ์ และการเตรียมความพร้อมในด้านการเรียน และเขายังมี ข้อแนะนำที่จะช่วยให้การเรียนได้ผลดีและรวดเร็ว คือ
- พยายามสร้างความอยากที่จะเรียน (motivation)
- พยายามตอบสนองต่อการเรียน (reaction) อย่างต่อเนื่อง
- ควรมีความแน่วแน่กับการเรียน (concentrate)
- จัดลำดับเรี่องที่จะเรียน (organization) ให้เป็นหมวดหมู่ก่อนหลัง ไม่ปะปนกัน
- ควรมีความเข้าใจ (comprehension) ในจุดมุ่งหมายในเนื้อหาที่เรียน
- มีการทบทวน (repettition) เพื่อเป็นการไม่ให้ลืม
เทคนิคการอ่านหนังสือ โดย อ.พรทิพย์ ศรีสุรักษ์
- สำรวจเนื้อหาและส่วนประกอบต่างๆในเล่มทั้งหมด
- อ่านเนื้อหาทั้งหมด แล้วอ่านซ้ำเพื่อจับ
- ควรมีการตั้งคำถามกับตัวเองขณะอ่าน ว่าใคร ทำอะไร ที่ใหน เมื่อไหร่ อย่างไร
- ขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญจากนั้นบันทึกเป็นคำพูดที่เข้าใจง่าย
- พยายามจับประเด็นจากคำบรรยายและจากตำราให้เข้ากัน
- ต้องมีการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ
หลัก SQ3R เพื่อช่วยให้การอ่านตำราประสบความสำเร็จมีดังนี้
S:
servey
คือ การสำรวจตำราเรียนอย่างคร่าวๆ
Q:
question
คือ การตั้งคำถามทั่วๆไปเพื่อที่จะเข้าสู่เนื้อหา
R:
read
แล้วก็ต้องอ่านเพื่อจับประเด็นความคิดออกมา
R:
recall
แล้วต้องพยายามที่จะจดจำในเนื้อหาที่สำคัญๆไว้ด้วย และ R สุดท้าย
R:
review
หมั่นทบทวนอยู่เสมอเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและการนำไปใช้
นอกจากนี้ อ.ธีรพร ชัยวัชราภรณ์ ยังให้เทคนิคการจำที่น่าสนใจ ให้นำไปใช้อีกด้วย
- อย่าจดจำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ
- ทบทวนบันทึกหลังการเรียนมาภายใน12ชม.
- ต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาทุกๆตอนก่อนที่จะผ่านไปและต้องทบทวนอย่างสม่ำเมอ
- พยายามเรียนให้มากๆและอย่าเพิ่งหยุดในขณะที่เพิ่งเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
- เลือกจำเฉพาะจุดที่สำคัญและรวบรวมเนื่อหาเหล่านั้นเข้าด้วยกันและมีระบบขั้นตอน
- ทำการซ้ำหลายๆหน เช่นท่องปากเปล่าหรือเขียนเพื่อที่จะช่วยให้จดจำได้มากขึ้น และ
- การท่องเป็นจังหวะจะช่วยให้ท่องจำได้ง่ายขึ้น
วิธีเรียนให้เก่ง
ฝึกสังเกต สังเกตในสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ดูผีเสื้อ หรือในการทำงาน การฝึกสังเกตจะทำให้เกิดปัญญามาก โลกทรรศน์ และวิธีคิด สติ-สมาธิ จะเข้าไปมีผลต่อการสังเกต และสิ่งที่สังเกต
ฝึกบันทึก เมื่อสังเกตอะไรแล้วควรฝึกบันทึก โดยจะวาดรูปหรือ บันทึกข้อความ ถ่ายภาพ ถ่ายวีดิโอ ละเอียดมากน้อยตามวัยและ ตามสถานการณ์การบันทึกเป็นการพัฒนาปัญญา
ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุม กลุ่ม เมื่อ มีการทำงานกลุ่ม เรา ไปเรียนรู้อะไรมาบันทึกอะไรมา จะนำเสนอให้เพื่อนหรือครูรู้เรื่อง ได้อย่างไร ก็ต้องฝึกการนำเสนอการนำเสนอได้ดีจึงเป็นการพัฒนา ปัญญาทั้งของผู้นำเสนอและของกลุ่ม
ฝึกการฟัง ถ้ารู้จักฟังคนอื่นก็จะทำให้ฉลาดขึ้น โบราณเรียกว่า เป็นพหูสูตบางคนไม่ได้ยินคนอื่นพูด เพราะหมกมุ่นอยู่ในความคิด ของตัวเองหรือมีความฝังใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเรื่องอื่นเข้าไม่ได้ ฉันทะ สติ สมาธิ จะช่วยให้ฟังได้ดีขึ้น
ฝึกปุจฉา-วิสัชนา เมื่อมีการนำเสนอและการฟังแล้ว ฝึกปุจฉา-วิสัชนา หรือถาม-ตอบ ซึ่งเป็นการฝึกใช้เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำ ให้เกิดความแจ่มแจ้งในเรื่องนั้นๆ ถ้าเราฟังครูโดยไม่ถาม-ตอบ ก็ จะไม่แจ่มแจ้ง
ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคำถาม เวลาเรียนรู้อะไรไปแล้ว เรา ต้องสามารถตั้งคำถามได้ว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นเกิดจากอะไร อะไรมีประโยชน์ ทำอย่างไรจะสำเร็จประโยชน์อันนั้น และมีการ ฝึกการตั้งคำถาม ถ้ากลุ่มช่วยกันคิดคำถามที่มีคุณค่าและมีความ สำคัญ ก็จะอยากได้คำตอบ
ฝึกการค้นหาคำตอบ เมื่อมีคำถามแล้วก็ควรไปค้นหาคำตอบ จากหนังสือ จากตำรา จากอินเตอร์เน็ต หรือไปคุยกับคนเฒ่าคน แก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคำถาม การค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ สำคัญจะสนุกและทำให้ได้ความรู้มาก ต่างจากการท่องหนังสือ โดยไม่มีคำถาม บางคำถามเมื่อค้นหาคำตอบทุกวิถีทางจนหมด แล้วก็ไม่พบ แต่ถามยังอยู่ และมีความสำคัญ ต้องหาคำตอบต่อ ไปด้วยการวิจัย
การวิจัย การวิจัยเพื่อหาคำตอบเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เรียนรู้ทุกระดับการวิจัยจะทำให้ค้นพบความรู้ใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิด ความภูมิใจ สนุก และมีประโยชน์มาก
เชื่อมโยงบูรณาการ ให้เห็นความเป็นทั้งหมดและเห็นตัวเอง ธรรมชาติของสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยง เมื่อเรียนรู้อะไรมาอย่าให้ความ รู้นั้นแยกเป็นส่วน ๆ แต่ควรจะเชื่อมโยงเป็นบูรณาการให้เห็นความเป็น ทั้งหมดในความเป็นทั้งหมดจะมีความงาม และมีมิติอื่นผุดบังเกิด ออกมาเหนือความเป็นส่วน ๆ และในความเป็นทั้งหมดนั้นมองให้ เห็นตัวเอง เกิดการรู้ตัวเองตามความเป็นจริง ว่าสัมพันธ์กับความ เป็นทั้งหมดอย่างไร จริยธรรมอยู่ที่ตรงนี้ คือการเรียนรู้ตัวเองตาม ความเป็นจริง ว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร
ดังนั้น ไม่ว่าการเรียนรู้อะไร ๆ ก็มีมิติทางจริยธรรมอยู่ในนั้นเสมอ มิติทางจริยธรรมอยู่ในความเป็นทั้งหมดนั่นเอง ต่างจากการเอา จริยธรรมไปเป็นวิชา ๆ หนึ่งแบบแยกส่วน แล้วก็ไม่ค่อยได้ผล ในการบูรณาการความรู้ที่เรียนรู้มาให้รู้ความเป็นทั้งหมด และเห็นตัวเองนี้ จะนำไปสู่อิสรภาพและความสุขอันล้นเหลือ เพราะ หลุดพ้นจากความบีบคั้นของความไม่รู้ การไตร่ตรองนี้จะโยงกลับไป สู่วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ที่ว่าเพื่อลดตัวกู-ของกู และเพื่อการ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ อันจะช่วยกำกับให้การแสวงหาความรู้เป็นไป เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว มิใช่เป็นไปเพื่อความกำเริบแห่งอหังการ และเพื่อรบกวนการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ
ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการ ถึงกระบวนการเรียนรู้และความรู้ ใหม่ที่ได้มาการเรียบเรียงทางวิชาการเป็นการเรียบเรียงความคิดให้ประณีตขึ้น ทำให้ค้นคว้าหาหลักฐานที่มาที่อ้างอิงของความรู้ให้ถี่ถ้วนแม่นยำขึ้น การเรียบเรียงทางวิชากรจึงเป็นการพัฒนาปัญญาของตนเองอย่างสำคัญ และเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้อื่นในวงกว้างออกไป

เทคนิคเรียนเก่ง


เทคนิคการเรียนให้เก่ง
พูดถึงเรื่องเรียน ใครๆก็อยากเก่งกันทุกคน แต่คงมีหลายคน ที่อาจจะท้อแท้กับการเรียน นักวิชาการและนักวิจัยต่างๆ ได้ทำการสำรวจและวิจัย พบว่าเทคนิคการเรียนต่างๆจากหลายๆคนแตกต่างกันไป ก็เลยนำมาเสนอให้เพื่อนๆที่สนใจได้อ่านด้วย เราไปดูกันดีกว่าว่า การเรียน เก่ง เขามีเทคนิคอะไร ยังไง
จากการวิจัยและวิเคราะห์ของนักแนะแนวการศึกษาและนักจิตวิทยาหลายคนพบว่า ผู้ที่เรียนไม่ค่อยประสบความสำเร็จหรือเรียนแบบไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ได้แก่ผู้ที่มีลักษณะดังนี้
- เป็นคนที่มักละทิ้งงานไว้ก่อนก่อนจึงค่อยทำ เมื่อถึงนาทีสุดท้าย
- เสียสมาธิ หันเห ความสนใจไปจากการเรียนได้โดยง่าย
- เมื่อทำงานที่ยากๆ จะสูญเสียความสนใจ หรือขาดความมานะ พยายามนั่นเอง
- มักใช้เรื่องของการสอบ เป็นเครื่องกระตุ้นการเรียน
- ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีตารางการทำงานอย่าวงสม่ำเสมอ
การเรียนที่มีประสิทธิภาพควรมีลักษณะดังนี้คือ
- ควรมีตารางเรียนและทำงานตรงตามเวลาที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ
- ทำงานในระยะเวลาที่ไม่นานนักและควรมีการหยุดพักผ่อน
- ไม่ปล่อยงานค้างไว้จนวินาทีสุดท้าย
- ควรตั้งสมาธิให้แน่วแน่ ไม่เสียสมาธิง่าย
- อย่าใช้การสอบเป็นนแรงจูงใจในการอ่านหนังสือ
- ควรอ่านหนังสือก่อนเข้าห้องเรียนตามสมควร
- เข้าฟังการบรรยาย สัมมนาแล้วควรกลับไปอ่านทบทวน
- พยายามอย่าละเลยวิชาที่ยากกว่าวิชาอื่นๆ
- ควรมีความรู้ในการใช้บริการห้องสมุดด้วยเป็นดี
- ปรับปรุงคำบรรยาย ที่จดจากห้องเรียนให้กระชับ กะทัดรัดและเข้าใจง่าย
- พยายามทำให้การเรียนเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และสนุกสนานกับมัน
- ควรมีแรงกระตุ้นกับมันและไม่ควรทำงานหนักเกินไปในวันหยุด
- เมื่อพยายามปฏิบัติทุกข้ออย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้เรียนได้ดี
จากการวิจัยเรื่องลักษณะการอ่านหนังสือหลายๆคนมักจะทำกันอย่างนี้
- อ่านหนังสือเที่ยวนึงก่อน แล้วกลับมาอ่านซ้ำอีกที
- ขีดเส้นใต้ใจความหลักและรายละเอียดที่สำคัญในตำรา
- อ่านอย่างตั้งใจแล้วทำบันทึกเค้าโครงสั้นๆไว้ เพื่อประหยัดเวลาในการอ่านทบทวน
ซึ่งนักวิเคราะห์สรุปว่า วิธีที่3ค่อนข้างจะดีกว่าข้ออื่นๆแต่การทำพร้อมๆกันทั้ง 3 วิธี เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการอ่านหนังสือเลยทีเดียว
Thorndike กล่าวว่า ประสบการณ์ก่อให้เกิดความชำนาญ เขาใด้ตั้งกฎแห่งการเรียนไว้ 3 อย่างซึ่งพูดถึงการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น การตอบรับ การฝึกหัดเพื่อก่อให้ เกิดประสบการณ์ และการเตรียมความพร้อมในด้านการเรียน และเขายังมี ข้อแนะนำที่จะช่วยให้การเรียนได้ผลดีและรวดเร็ว คือ
- พยายามสร้างความอยากที่จะเรียน (motivation)
- พยายามตอบสนองต่อการเรียน (reaction) อย่างต่อเนื่อง
- ควรมีความแน่วแน่กับการเรียน (concentrate)
- จัดลำดับเรี่องที่จะเรียน (organization) ให้เป็นหมวดหมู่ก่อนหลัง ไม่ปะปนกัน
- ควรมีความเข้าใจ (comprehension) ในจุดมุ่งหมายในเนื้อหาที่เรียน
- มีการทบทวน (repettition) เพื่อเป็นการไม่ให้ลืม
เทคนิคการอ่านหนังสือ โดย อ.พรทิพย์ ศรีสุรักษ์
- สำรวจเนื้อหาและส่วนประกอบต่างๆในเล่มทั้งหมด
- อ่านเนื้อหาทั้งหมด แล้วอ่านซ้ำเพื่อจับ
- ควรมีการตั้งคำถามกับตัวเองขณะอ่าน ว่าใคร ทำอะไร ที่ใหน เมื่อไหร่ อย่างไร
- ขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญจากนั้นบันทึกเป็นคำพูดที่เข้าใจง่าย
- พยายามจับประเด็นจากคำบรรยายและจากตำราให้เข้ากัน
- ต้องมีการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ
หลัก SQ3R เพื่อช่วยให้การอ่านตำราประสบความสำเร็จมีดังนี้
S:
servey
คือ การสำรวจตำราเรียนอย่างคร่าวๆ
Q:
question
คือ การตั้งคำถามทั่วๆไปเพื่อที่จะเข้าสู่เนื้อหา
R:
read
แล้วก็ต้องอ่านเพื่อจับประเด็นความคิดออกมา
R:
recall
แล้วต้องพยายามที่จะจดจำในเนื้อหาที่สำคัญๆไว้ด้วย และ R สุดท้าย
R:
review
หมั่นทบทวนอยู่เสมอเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและการนำไปใช้
นอกจากนี้ อ.ธีรพร ชัยวัชราภรณ์ ยังให้เทคนิคการจำที่น่าสนใจ ให้นำไปใช้อีกด้วย
- อย่าจดจำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ
- ทบทวนบันทึกหลังการเรียนมาภายใน12ชม.
- ต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาทุกๆตอนก่อนที่จะผ่านไปและต้องทบทวนอย่างสม่ำเมอ
- พยายามเรียนให้มากๆและอย่าเพิ่งหยุดในขณะที่เพิ่งเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
- เลือกจำเฉพาะจุดที่สำคัญและรวบรวมเนื่อหาเหล่านั้นเข้าด้วยกันและมีระบบขั้นตอน
- ทำการซ้ำหลายๆหน เช่นท่องปากเปล่าหรือเขียนเพื่อที่จะช่วยให้จดจำได้มากขึ้น และ
- การท่องเป็นจังหวะจะช่วยให้ท่องจำได้ง่ายขึ้น
วิธีเรียนให้เก่ง
ฝึกสังเกต สังเกตในสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ดูผีเสื้อ หรือในการทำงาน การฝึกสังเกตจะทำให้เกิดปัญญามาก โลกทรรศน์ และวิธีคิด สติ-สมาธิ จะเข้าไปมีผลต่อการสังเกต และสิ่งที่สังเกต
ฝึกบันทึก เมื่อสังเกตอะไรแล้วควรฝึกบันทึก โดยจะวาดรูปหรือ บันทึกข้อความ ถ่ายภาพ ถ่ายวีดิโอ ละเอียดมากน้อยตามวัยและ ตามสถานการณ์การบันทึกเป็นการพัฒนาปัญญา
ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุม กลุ่ม เมื่อ มีการทำงานกลุ่ม เรา ไปเรียนรู้อะไรมาบันทึกอะไรมา จะนำเสนอให้เพื่อนหรือครูรู้เรื่อง ได้อย่างไร ก็ต้องฝึกการนำเสนอการนำเสนอได้ดีจึงเป็นการพัฒนา ปัญญาทั้งของผู้นำเสนอและของกลุ่ม
ฝึกการฟัง ถ้ารู้จักฟังคนอื่นก็จะทำให้ฉลาดขึ้น โบราณเรียกว่า เป็นพหูสูตบางคนไม่ได้ยินคนอื่นพูด เพราะหมกมุ่นอยู่ในความคิด ของตัวเองหรือมีความฝังใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเรื่องอื่นเข้าไม่ได้ ฉันทะ สติ สมาธิ จะช่วยให้ฟังได้ดีขึ้น
ฝึกปุจฉา-วิสัชนา เมื่อมีการนำเสนอและการฟังแล้ว ฝึกปุจฉา-วิสัชนา หรือถาม-ตอบ ซึ่งเป็นการฝึกใช้เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำ ให้เกิดความแจ่มแจ้งในเรื่องนั้นๆ ถ้าเราฟังครูโดยไม่ถาม-ตอบ ก็ จะไม่แจ่มแจ้ง
ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคำถาม เวลาเรียนรู้อะไรไปแล้ว เรา ต้องสามารถตั้งคำถามได้ว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นเกิดจากอะไร อะไรมีประโยชน์ ทำอย่างไรจะสำเร็จประโยชน์อันนั้น และมีการ ฝึกการตั้งคำถาม ถ้ากลุ่มช่วยกันคิดคำถามที่มีคุณค่าและมีความ สำคัญ ก็จะอยากได้คำตอบ
ฝึกการค้นหาคำตอบ เมื่อมีคำถามแล้วก็ควรไปค้นหาคำตอบ จากหนังสือ จากตำรา จากอินเตอร์เน็ต หรือไปคุยกับคนเฒ่าคน แก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคำถาม การค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ สำคัญจะสนุกและทำให้ได้ความรู้มาก ต่างจากการท่องหนังสือ โดยไม่มีคำถาม บางคำถามเมื่อค้นหาคำตอบทุกวิถีทางจนหมด แล้วก็ไม่พบ แต่ถามยังอยู่ และมีความสำคัญ ต้องหาคำตอบต่อ ไปด้วยการวิจัย
การวิจัย การวิจัยเพื่อหาคำตอบเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เรียนรู้ทุกระดับการวิจัยจะทำให้ค้นพบความรู้ใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิด ความภูมิใจ สนุก และมีประโยชน์มาก
เชื่อมโยงบูรณาการ ให้เห็นความเป็นทั้งหมดและเห็นตัวเอง ธรรมชาติของสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยง เมื่อเรียนรู้อะไรมาอย่าให้ความ รู้นั้นแยกเป็นส่วน ๆ แต่ควรจะเชื่อมโยงเป็นบูรณาการให้เห็นความเป็น ทั้งหมดในความเป็นทั้งหมดจะมีความงาม และมีมิติอื่นผุดบังเกิด ออกมาเหนือความเป็นส่วน ๆ และในความเป็นทั้งหมดนั้นมองให้ เห็นตัวเอง เกิดการรู้ตัวเองตามความเป็นจริง ว่าสัมพันธ์กับความ เป็นทั้งหมดอย่างไร จริยธรรมอยู่ที่ตรงนี้ คือการเรียนรู้ตัวเองตาม ความเป็นจริง ว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร
ดังนั้น ไม่ว่าการเรียนรู้อะไร ๆ ก็มีมิติทางจริยธรรมอยู่ในนั้นเสมอ มิติทางจริยธรรมอยู่ในความเป็นทั้งหมดนั่นเอง ต่างจากการเอา จริยธรรมไปเป็นวิชา ๆ หนึ่งแบบแยกส่วน แล้วก็ไม่ค่อยได้ผล ในการบูรณาการความรู้ที่เรียนรู้มาให้รู้ความเป็นทั้งหมด และเห็นตัวเองนี้ จะนำไปสู่อิสรภาพและความสุขอันล้นเหลือ เพราะ หลุดพ้นจากความบีบคั้นของความไม่รู้ การไตร่ตรองนี้จะโยงกลับไป สู่วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ที่ว่าเพื่อลดตัวกู-ของกู และเพื่อการ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ อันจะช่วยกำกับให้การแสวงหาความรู้เป็นไป เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว มิใช่เป็นไปเพื่อความกำเริบแห่งอหังการ และเพื่อรบกวนการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ
ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการ ถึงกระบวนการเรียนรู้และความรู้ ใหม่ที่ได้มาการเรียบเรียงทางวิชาการเป็นการเรียบเรียงความคิดให้ประณีตขึ้น ทำให้ค้นคว้าหาหลักฐานที่มาที่อ้างอิงของความรู้ให้ถี่ถ้วนแม่นยำขึ้น การเรียบเรียงทางวิชากรจึงเป็นการพัฒนาปัญญาของตนเองอย่างสำคัญ และเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้อื่นในวงกว้างออกไป